กองหน้าร่าเริง - เสนาบดีสี่สหาย
เสนาบดีสี่สหาย
จากหนังสือ "กองหน้าร่าเริง" ฉบับที่ ๒๐๖
นานมาแล้ว กษัตริย์ผู้ครองเมืองพาราณสี มีเสนาบดีสี่คนซึ่งเฉลียวฉลาดมาก แต่ไม่ยอมพูดป้อยอกษัตริย์ผู้นั้นเลย เสนาบดีทั้งสี่พูดแต่ความจริง วันหนึ่งกษัตริย์ต้องการขึ้นภาษีแก่ราษฎร เพราะรายจ่ายของบ้านเมืองขณะนั้นกำลังจะสูงกว่ารายรับ พระองค์จึงปรึกษาเสนาบดีทั้งสี่
“ขอเดชะ ข้าพเจ้าใคร่ถวายคำแนะนำว่าไม่ควรขึ้นภาษีเลย...” เสนาบดีทั้งสี่ลงความเห็นอย่างเดียวกันทั้งนั้น คือคัดค้านการขึ้นภาษี ทั้งนี้เป็นเหตุให้กษัตริย์กริ้วโกรธมาก
“พวกท่านไม่เคยเห็นชอบกับความคิดของเราเลย” กษัตริย์ตรัสด้วยสุระเสียงเกรี้ยวกราด “พวกท่านไม่ควรได้รับตำแหน่งสมบูรณ์เกียรติใกล้ชิดเราซึ่งเป็นราชาแห่งแคว้นนี้อีกต่อไป เราถอดท่านทั้งสี่ออกจากยศ ตำแหน่งหน้าที่ และริบทรัพย์ที่เราได้ประทานให้ท่านคืนเข้าสู่ท้องพระคลัง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป !
เสนาบดีทั้งสี่ถูกขับไล่ออกจากนครพาราณสีทันที ขณะที่เขาพากันไปตามทางด้วยความเศร้าสร้อย ระทมทุกข์ก็ได้พบรอยเท้าใหม่ ๆ ของอูฐตัวหนึ่ง ในไม่ช้าก็ได้พบพ่อค้าคนหนึ่งซึ่งแจ้งแก่สี่สหายตกยากว่า อูฐของเขาได้หายไป
“อูฐตัวนี้ขาเสียข้างหนึ่งใช่ไหม?” เสนาบดีคนหนึ่งถาม
“ตาข้างขวาของมันบอดหรือเปล่า ?” เสนาบดีคนที่สองถามบ้าง
“หางของมันคงจะสั้นมากกระมัง ?” เสนาบดีคนที่สามตั้งปัญหา
“มันกำลังมีอาการเจ็บปวดในท้องมากใช่ไหม ?” เสนาบดีคนที่สี่ซักไซ้ออกมบ้าง
พ่อค้าทำตาโต และพูดด้วยความดีใจ “ถูกต้องตามที่ท่านว่าทุกประการ อูฐของข้าพเจ้าเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้ายินดีมากที่ท่านทั้งสี่ได้พบเห็นมัน บัดนี้มันอยู่ที่ไหนล่ะ ?”
“พวกเราไม่ได้พบเห็นตัวมันเลย” เสนาบดีทั้งสี่ตอบ “แต่เราพบรอยเท้าของมัน”
“พวกท่านรู้จักรูปร่างลักษณะอูฐของข้าพเจ้าดีกว่าข้าพเจ้าซึ่งเป็นเจ้าของมันเสียอีก ท่านได้พบมันแล้วก็ได้สมคบกันขายมันไปแล้วใช่ไหมล่ะ ?” พ่อค้าคาดคั้นด้วยความโกรธเสนาบดีทั้งสี่ปฏิเสธ “เราไม่เคยได้พบเห็นอูฐของท่านเลย”
แต่พ่อค้าไม่เชื่อ จึงไปร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากพระราชา เสนาบดีทั้งสี่ก็ถูกเรียกไปแก้คดีต่อพระพักตร์พระราชา
“ถ้าพวกท่านไม่เคยเห็นอูฐของเขา แล้วทำไมท่านจึงบอกลักษณะของอูฐของเขาถูกต้องเช่นนั้น ?” พระราชารับสั่งถามเสนาบดีทั้งสี่ “ทำไมท่านจึงรู้ว่าขาข้างหนึ่งของอูฐเสีย นัยน์ตาบอด หางสั้น และกำลังมีอาการปวดท้อง ? ถ้าท่านไม่เคยเห็นมันแล้ว ทำไมล่ะจึงสามารถรู้ลักษณะของอูฐตัวนั้น ?”
“ข้าพเจ้ารู้ว่าขามันเสีย ก็เพราะรอยเท้าของมันปรากฏเพียงสามเท้า” เสนาบดีคนที่หนึ่งตอบ
“ข้าพเจ้ารู้ว่าตาข้างขวามันบอดก็เพราะใบไม้ทางด้านซ้ายของต้นไม้ที่มันผ่านมีรอยถูกเล็ม ส่วนทางด้านขวาไม่มีร่องรอยเลย” เสนาบดีคนที่สองชี้แจง
“ข้าพเจ้ารู้ว่าหางมันสั้นก็เพราะมีหยดเลือดปรากฏบนทางผ่านของมัน ซึ่งอาจเกิดจากถูกยุงเหลือบเกาะกัด และอูฐไม่มีหางยาวพอที่จะปัดขับไล่ยุงเหลือบเหล่านั้น จึงต้องปล่อยให้มันกินเลือดตามสบาย” เสนาบดีคนที่สามอธิบาย
“ส่วนข้าพเจ้าสังเกตเห็นรอยเท้าหน้าทั้งสองข้างของมันกดลึกลงไปในพื้นดิน แต่เท้าทั้งสองทิ้งรอยไว้แผ่ว ๆ แสดงว่ามันใช้เท้าหลังเหยียบลงไปเบา ๆ จึงเข้าใจว่าเท้าหลังของมันคงจะต้องงอเอาไว้เนื่องจากมีอาการปวดในท้อง” เสนาบดีคนที่สี่แสดงเหตุผลเป็นคนสุดท้าย
กษัตริย์มองหน้าเสนาบดีทั้งสี่ด้วยความชื่นชมและพิศวง พระองค์เพิ่งทราบว่า เขาเป็นคนเฉลียวฉลาดที่สุดในกรุงพาราณสี
“เราควรจะเชื่อพังความเห็นของพวกท่านที่ได้คัดค้านเราเรื่องการขึ้นภาษี” พระราชารับสั่ง “ท่านทั้งสี่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งใกล้ชิดเราเสมอไป จงอภัยให้เรา และกลับมาเป็นเสนาบดีของเราตามเดิมเถิด”
พระราชาก็เลิกล้มความคิดขึ้นภาษีอย่างเด็ดขาดตั้งแต่วาระนั้น และชื่อเสียงของเสนาบดีทั้งสี่ก็ขจรไปไกล


ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น