กองหน้าร่าเริง - วีรกรรมของเด็กน้อย

 วีรกรรมของเด็กน้อย

จาก "กองหน้าร่าเริง" ฉบับที่ ๑๗๙ 


รื่องนี้เกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศส  คือเรื่องเกี่ยวกับประภาคารแห่งเดอร์โดนิส ซึ่งปลุกโลหิตในกายเราให้พลุ่งพล่าน  และทำให้เรารู้สึกภูมิใจในศักดิ์ศรีมนุษยชน

ประภาคาร (หรือกระโจมไฟ) แห่งเดอร์โดนิสนี้มีผู้รักษา คือ นายประภาคารพร้อมด้วยภรรยา และบุตรสองคน  บุตรคนโตอายุเพิ่งสิบขวบ

วันหนึ่งในฤดูหนาว  นายประภาคารต้องตากลมทำงานกลางแจ้ง  เพื่อซ่อมแซมโคมไฟมหึมาของประภาคาร  เขาตรากตรำมากจึงล้มเจ็บเป็นไข้หวัดอย่างแรง  แล้วเลยกลายเป็นโรคปอดบวม 

สถานที่ตั้งประภาคารนั้นเปล่าเปลี่ยว  อ้างว้าง  อยู่ห่างไกลชุมชน  ไม่มีแพทย์  ไม่มีสถานพยาบาล ไม่มีเพื่อนบ้านแม้แต่คนเดียวในย่านนั้น   ภรรยาของนายประภาคารก็ได้แต่ใช้ยากลางบ้านพอกที่อกสามีและต้มน้ำร้อนให้ดื่ม  ครั้นถึงเวลาค่ำนางก็ต้องผละจากสามีไปจุดโคมบนยอดประภาคาร  เมื่อนางกลับมาก็ได้เห็นอาการของสามีหนักเพียบลงทุกที  ทันใดบุตรทั้งสองก็ร้องบอกมาว่า  “แม่จ๋า ! โคมไฟไม่หมุน !”

โคมไฟของประภาคารนั้น  ตามปกติจะต้องหมุนไปรอบ ๆ  และถ้ามันหยุดอยู่กับที่  ไม่หมุนต่อไป  พวกกลาสีชาวเรือก็จะหลงทาง  เป็นเหตุให้เรือชนหินโสโครกถึงอับปางในทะเล    

เมื่อได้ยินเช่นนั้น  ภรรยานายประภาคารก็รีบผละจากสามีซึ่งอาการร่อแร่อยู่นั้น  ไปทำการตรวจเครื่องกลไกที่เคยทำให้โคมไฟหมุนได้ทันที   นางตรวจพบชิ้นส่วนสำคัญหักชำรุด  และนางก็ไม่รู้วิธีจะซ่อมแซมมันให้ดีได้ด้วย  ดังนั้นนางจึงต้องลงมือหมุนโคมไฟนั้นด้วยตนเอง  ครั้นเมื่อรู้สึกเป็นห่วงสามียิ่งขึ้น  นางก็ต้องร้องเรียกบุตรทั้งสองให้มาช่วยผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่หมุนโคมไฟดังกล่าว   สองพี่น้องกำลังร่ำไห้สะอึกสะอื้นอยู่ข้างเตียงบิดาซึ่งป่วยหนัก  เมื่อได้ฟังคำขอร้องของมารดา  เด็กทั้งสองก็ออกไปปฏิบัติหน้าที่ช่วยกันหมุนโคมไฟทันที  และเขาผลัดกันหมุนอยู่ตลอดคืน...

เด็กทั้งสองซึ่งทำการหมุนโคมไฟอยู่บนยอดหอคอยนั้น  คนพี่ชายอายุสิบขวบ  ส่วนคนน้องเป็นหญิงเพิ่งเจ็ดขวบ  เขาช่วยกันทำหน้าที่อำนวยสวัสดิภาพความปลอดภัยแก่ชีวิตและทรัพย์สมบัติของชาวเรือ  ตั้งแต่เวลาค่ำ  ๒๑ นาฬิกา ถึงเวลาเจ็ดนาฬิกา  ทั้งนี้โดยไม่หยุดหย่อนเลยตลอดราตรีมืดมิด  ท่ามกลางพายุร้ายและทะเลบ้า...

เมื่อแสงทองจับขอบฟ้าเวลาเช้าตรู่  เด็กทั้งสองก็ได้เห็นเรือสองลำกำลังแล่นเข้าเทียบท่าอย่างเรียบร้อยและปลอดภัย  เขาจึงหยุดหมุนโคมไฟ   เด็กชายผู้พี่ก็ดับไฟในโคม  และพาน้องสาววิ่งลงจากยอดหอคอยไปยังห้องพักของบิดามารดาทันที

บิดาของเด็กทั้งสองนอนแน่นิ่งอยู่บนผืนผ้าสีขาว  ชีวิตได้ละทิ้งเรือนร่างนายประภาคารไปเสียแล้ว  ภริยาของเขากำลังคุกเข่าสวดภาวนาอยู่ข้างเตียงผู้ตาย

ดังนั้นจึงปรากฏว่า  ขณะที่เด็กทั้งสองกำลังอำนวยแสงสว่างเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์อยู่ตลอดคืนมหาวิบัตินั้น  แสงสว่างแห่งชีวิตบิดาที่รักของเขาก็ได้ดับวูบลงท่ามกลางราตรีมืดดำ สายลม และเสียงคลื่น..

สองพี่น้องทรุดกายลงคุกเข่าโดยไม่ปริปากพูดเลย  คงมีแต่เสียงสะอึกสะอื้นด้วยความอาลัยรักบุรุษผู้ให้กำเนิดดังออกมาจากลำคอน้อย ๆ น่าเวทนา   หญิงผู้เป็นมารดาก็โอบศีรษะบุตรทั้งสองเข้าไว้ในอ้อมแขน  พลางพูดว่า  “ลูกเอ๋ย,   แม่รู้สึกภาคภูมิใจในตัวลูกทั้งสองเสียนี่กระไร!  แม้แต่พ่อซึ่งบัดนี้หาชีวิตไม่แล้วก็ยังมิวายต้องขอบใจลูก  เพราะลูกได้ยอมเสียสละอย่างใหญ่หลวงเพื่อความสมบูรณ์ในการปฏิบัติหน้าที่  ขอให้ลูกจงซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ด้วยความเสียสละเช่นนี้เสมอไปเถิดนะลูกรัก”

ต่อจากนั้นมารดาก็ให้อาหารแก่บุตรทั้งสองซึ่งเหนื่อยอ่อนอิดโรยอย่างยิ่ง  และจัดที่นอนให้พักผ่อนทันที  สองพี่น้องพอศีรษะตกถึงหมอนก็หลับผลอย

เวลาสายวันนั้นมีเรือบรรเทาทุกข์ของทางราชการมาสงเคราะห์ครอบครัวนายประภาคาร  แต่ความช่วยเหลือนี้สายเกินไปที่จะก่อกู้ชีวิตนายประภาคารให้กลับคืนมาได้  และช้าเกินไปด้วยที่จะช่วยให้สองพี่น้องไม่ต้องไปอดตาหลับขับตานอน  ทรมานหมุนโคมไฟอยู่บนยอดหอคอยในราตรีอันน่ากลัวนั้น

 


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

MOSCOW

ช่วงชีวิตหนึ่งของผม

กองหน้าร่าเริง - เจ้าชายสามพี่น้อง