กองหน้าร่าเริง - ตะปูตัวเดียว

ตะปูตัวเดียว

ายวุ่นผู้น่าสงสารนั่งลงบนเสื่อผืนเดียวซึ่งเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่เขามีอยู่ในบ้าน 

“เป็นอันว่าฉันจะต้องขายกระท่อมหลังนี้  และสวนน้อย ๆ ของฉันแก่เศรษฐีหน้าเลือด...”  นายวุ่นรำพึงรำพัน   “ข้าวสารกระป๋องสุดท้ายได้หมดจากปี๊บตั้งแต่เมื่อเย็นวานนี้....  น้ำมันจะเติมตะเกียงก็ไม่มีเหลือแม้แต่ครึ่งหยด...  ท้องฉันกำลังร้องจ๊อก ๆ ...  ใจฉันน่ะมันเข้มแข็งจริงหรอก   มันไม่ยอมขายบ้านหลังนี้เป็นอันขาด  แต่ท้องเจ้ากรรมนี่ซิมันบังคับให้ฉันต้องยอมแพ้แก่เศรษฐีน้าเลือด!” 

นายวุ่นตรึกตรองแล้ว  ก็ตัดสินใจลุกพรวดพราดออกเดินไปยังคฤหาสน์ของขุนสมบัติโลหิตพักตร์ 

ขุนสมบัติโลหิตพักตร์ เศรษฐีหน้าเลือดได้เจรจาทาบทามขอซื้อบ้านนายวุ่นมาเป็นเวลาช้านานตั้งสามปีต่อเนื่องกันมา  เพราะหมอดูแนะนำท่านขุนว่า  ถ้าได้ย้ายจากคฤหาสน์ไปอยู่กระท่อมของนายวุ่นแล้วท่านขุนจะอายุมั่นขวัญยืน  เพราะที่กระท่อมนายวุ่นเมื่อสมัยก่อนนี้เป็นที่พระอินทร์เหาะลงมาประสาทพรให้หนุมานได้เป็นทหารเอกของพระราม  อันทำให้สถานที่ดังกล่าวเต็มไปด้วยศุภมงคลร้อยแปดพันประการ  แต่นายวุ่นก็ปฏิเสธไม่ยอมขายเรื่อยมา

วันนี้นายวุ่นมาหาท่านขุนแต่เช้า

“อ้อ ! พ่อวุ่น   มีธุระอะไรหรือ?  ขึ้นมาคุยกันก่อนซิ”  ท่านขุนเชื้อเชิญ 

นายวุ่นแจ้งความประสงค์ตกลงขายกระท่อมและสวนครัวของเขาทันทีตามราคาที่ท่านขุนได้เคยเสนอไว้  คือหนึ่งหมื่นเจ็ดพันหกร้อยเก้าสิบห้าบาทสี่สิบแปดสตางค์

ท่านขุนดีใจมาก  แต่ความงกเงินทำให้ต้องต่อรองราคาอีก  นายวุ่นก็ใจป้ำยอมลดให้ท่านขุนถึงเจ็ดพันเก้าสิบห้าบาท  คงเหลือเป็นราคารวมทั้งสิ้นเพียงหนึ่งหมื่นกับสี่สิบแปดสตางค์ 

“ผมตกลงขายบ้าน  ที่ดินและทุกสิ่งทุกอย่างให้ท่านขุน  เว้นแต่...” 

“เว้นแต่อะไรอีกล่ะ?”  ท่านขุนพูดหน้าตาบึ้งตึงทันที  “ฉันต้องการทุกอย่างเป็นของฉัน” 

“เว้นแต่ตะปูตัวเดียวเท่านั้นแหละครับ”   นายวุ่นตอบ   “มาซิ  ผมจะชี้ให้ดูว่าตะปูตัวไหน”

ตะปูนั้นยาว  สนิมจับเขรอะ... 

“อ้อ!  ตะปูตัวนี้น่ะหรือซึ่งแกขอสงวนสิทธิ์เป็นสมบัติของแกต่อไป?” 

“ถูกแล้วครับ   ท่านขุนที่เคารพ” 

ฉันตกลงซื้อบ้านและที่ดินของแก   ฉันจะเขียนลงในสัญญาว่าตะปูตัวนี้จะดำรงเป็นสิทธ์ของแก” 

“แล้วผมจะทำอะไรแก่มันก็ได้”

“โอ.เค.”  ท่านขุนพยักหน้า  และนึกยิ้มเยาะความบัดซบของนายวุ่น

วันรุ่งขึ้นท่านขุนสมบัติโลหิตพักตร์ก็ย้ายจากคฤหาสน์โอ่โถงมาพำนักอยู่ในกระท่อมของนายวุ่นเพื่อตนจะได้อายุยืนตามคำแนะนำของหมอดู   ฝ่ายนายวุ่นก็หอบเสื่อผืนเดียวไปนอนบนหาดทรายริมทะเล  และเอาเงินที่ขายบ้านได้ไปซื้ออาหารกินและฝากจำนวนที่เหลือไว้ในธนาคารออมสิน

ประมาณเที่ยงคืนวันนั้น  ท่านขุนสมบัติโลหิตพักตร์ได้เห็นเงาตะคุ่ม ๆ เข้ามาในห้องนอน

“ช่วยด้วย!  ขโมย!!”  ท่านขุนร้องตะโกนจนสุดเสียง 

“ขออภัยเถิดครับ”  เสียงพูดแผ่วเบาออกมาจากเงาตะคุ่มนั้น  มันเป็นเสียงนายวุ่นนั่นเอง   “ผมเพียงแต่เอาห่อของนี่มาแขวนที่ตะปูของผมเท่านั้นแหละครับเพราะไม่มีที่ไหนจะปลอดภัยเท่าที่นี่อีกแล้ว”

ท่านขุนพูดไม่ออก   สัญญาได้ผูกมัดไว้ว่าตะปูตัวนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของนายวุ่นอย่างสมบูรณ์  และเขาจะทำอะไรอะไรกับมันก็ได้  แต่ท่านขุนไม่มีสิทธิ์จะไปทำอะไรกับมันเลย

ท่านขุนพยายามนอนให้หลับ  แต่ก็หลับไม่ลง   ใจพะวงอยู่แต่ว่าสมบัติในห่อที่นายวุ่นได้นำมาแขวนตะปูไว้นั้นมันเป็นอะไรหนอ?   ในที่สุดเมื่ออดทนรอไม่ไหว  ท่านขุนก็ต้องลุกขึ้นจุดเทียนไขไปเปิดย่ามใบนั้น

“ว้า!   นี่อะไร?.... !  งูทั้งนั้น!”   ท่านขุนร้องโวยวาย

คืนนั้นทั้งคืน  ท่านขุนนอนไม่หลับเลย   ครั้นรุ่งเช้า  นายวุ่นก็เข้ามาปลดเอาย่ามออกจากตะปู  แล้วเอาย่ามอีกใบหนึ่งแขวนไว้แทนที่

“อะไรอีกล่ะ?”   ท่านขุนถามด้วยเสียงตวาด

“อ๋อ!  ของกระจุกกระจิกนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นเองแหละครับ  ท่านขุน  ผมไม่รู้จะเอามันไปเก็บที่ไหนนี่ครับ”

ท่านขุนทนง่วงไม่ไหว  ก็ม่อยหลับไป  ขณะที่กำลังหลับสนิทก็มีเสียงดังแสบแก้วหูปลุกให้ทะลึ่งโลดจากเตียงนอน  มันคือเสียงนาฬิกาปลุกนั่นเอง  ท่านขุนพยายามหลับต่อไป   แต่ในไม่ช้า – ประมาณครึ่งชั่วโมงให้หลังเท่านั้น  เสียงนาฬิกาปลุกก็ดังขึ้นอีก

“แหม!  มันร้ายกาจมาก”   ท่านขุนกัดฟันบ่นพึมพำ   “มันเอานาฬิกาปลุกใส่ไว้ในนั้นมากกว่าหนึ่งเรือนและตั้งให้ปลุกในระยะเวลาต่าง ๆ กัน....  บางทีอาจตลอดทั้งวัน!”

ตอนบ่ายนายวุ่นก็เอาย่ามอีกใบหนึ่งมาเปลี่ยน  ต่อจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  จนกระทั่งเวลาประมาณสามทุ่ม  นายวุ่นก็เอากล่องกระดาษขนาดใหญ่ผูกเชือกไว้โดยรอบแน่นหนา  เขาปลดย่ามออกจากตะปูและแขวนกล่องกระดาษไว้แทนที่

“นั่นแกเอาอะไรมาแขวนที่อ้ายตะปูเวรของแกอีกฮึ?”   ท่านขุนตะคอก  นัยน์ตาขวาง

“อย่าวิตกเลยครับ  ท่านขุน  เชิญนอนหลับให้สบายเถิด  อ้ายที่อยู่ในกล่องนี่มันไม่ส่งเสียงรบกวนและไม่ดิ้นรนหรือกระดุกกระดิกให้ท่านขุนตกอกตกใจหรอกครับ...”

ตอนหัวค่ำ  ท่านขุนก็นอนทำจมูกฟุดฟิดและพอทนได้  ครั้นถึงตอนตี่สี่ของวันรุ่งขึ้น   ท่านขุนก็ทนไม่ไหว  ต้องหอบเสื่อออกไปนอนนอกกระท่อม

รุ่งขึ้นเวลา 10.00 น.   นายวุ่นกลับมาหยิบกล่องที่แขวนตะปูนั้น

ท่านขุนถามว่า   “แกเอาอะไรใส่ไว้ในกล่องนั้น?”

“นังแจ๋ว  แมวสุดที่รักของผมตายเมื่อเย็นวานซืนนี้...  ผมไม่ต้องการฝังมันเร็วเกินไป  และไม่รู้จะเอาไปเก็บไว้ที่ไหน...   นึกถึงตะปูขึ้นมาได้ก็เลยเอามันมาที่นี่....”

“แกนี่มันเจ้าเล่ห์หาที่เปรียบไม่ได้!”   ท่านขุนชี้หน้านายวุ่น   “ฉันยอมแพ้แกแล้ว  นายวุ่น  เอากระท่อมที่ดินซึ่งพระอินทร์เสกของแกคืนไปเถอะ   ฉันไม่ปรารถนาจะมีอายุมั่นขวัญยืนอยู่ในกระท่อมของแกอีกต่อไปแล้ว!”

นายวุ่นช่วยขนของท่านขุนกลับไปยังคฤหาสน์แล้วตัวเขาก็กลับมาทำสวนครัวและพำนักอยู่ในกระท่อมของเขาต่อไป


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

MOSCOW

ช่วงชีวิตหนึ่งของผม

กองหน้าร่าเริง - เจ้าชายสามพี่น้อง