กองหน้าร่าเริง - ความซื่อสัตย์ของพระนางพีเนโลพี

ความซื่อสัตย์ของพระนางพีเนโลพี

จากนิตยสาร “กองหน้าร่าเริง”   ฉบับที่ 173-175

พีเนโลพี เป็นนางกษัตริย์แห่งอาณาจักรนักรบยิ่งใหญ่ นางเฝ้าคอยการกลับมาของโอดิสยุสสามี ซึ่งยกทัพไปรบชาวเมืองทรอย เป็นสงครามยืดเยื้อหลายปีมาแล้ว   เพื่อฆ่าเวลา พีเนโลพีก็เย็บปักถักร้อยผ้าสำหรับเก็บไว้ใช้ในงานฝังศพบิดาสามี ทั้งที่ชายชราผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ และสุขภาพร่างกายแข็งแรง ประชาชนทั่วไปต่างก็พิศวงที่เห็นพีเนโลพีด่วนทำงานดังกล่าวนั้น แต่นางมีความลับเก็บไว้ในใจตนเองแต่เพียงผู้เดียว

วันหนึ่งบรรดาเจ้าชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของโอดิสยุส ได้มาหาพีโนโลพีและแจ้งความจำนง

“นี่แนะ พระนางพีเนโลพี สามีของเธอน่ะตายแน่แล้ว โอรสของเธอก็ยังอายุน้อยเกินไปที่จะครองราชสมบัติ เพราะฉะนั้นเธอต้องเลือกเราคนใดคนหนี่งเป็นพระสามี เพื่อปกครองราชอาณาจักรของเรา”

“ดีแล้ว เจ้าชายทั้งหลาย ข้าพเจ้าจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสอีก เพราะสามีตาย ก็ต่อเมื่องานเย็บปักถักร้อยนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว...”

“ถ้าเช่นนั้นก็โปรดเร่งมือหน่อยซิพระนาง เพราะเวลานี้บ้านเมืองของเราต้องการพระราชา”

พีเนโลพีทำงานเย็บปักดังกล่าวทุกวันอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ดูเหมือนว่านางเร่งมือขนาดหนักทีเดียว แต่ถึงกระนั้น งานก็มิได้คืบหน้าเท่าใดนัก...

วันหนึ่ง นางข้าหลวงคนโปรดทูลพระนางว่า “ในไม่ช้า พระนางก็จะต้องทรงเลือกเจ้าชายองค์ใดองค์หนึ่งเป็นพระสามีอย่างแน่นอนทีเดียว..”

“เจ้าเข้าใจเช่นนั้นหรือ? แต่ฉันจะไม่ยอมแต่งงานใหม่กับใครทั้งนั้น เพราะพระสามีของฉันยังดำรงชีวิตอยู่”

“แต่พระนางตรัสไว้ว่าจะทรงเลือกคู่ครองใหม่ เมื่องานเย็บปักนี้เสร็จแล้ว”

“ไม่มีวันเสร็จแน่ในชาตินี้ มาซิคืนนี้ เจ้าจงมาดูที่ห้องนอนของฉันเวลาดึก แล้วเจ้าก็จะเข้าใจว่าเพราะอะไร”

คืนนั้น นางข้าหลวงเข้าไปยังห้องบรรทมของพระนาง และก็ได้เห็ฯงานเย็บปักถักร้อยนั้นยังคงอยู่ในสภาพไม่เสร็จ ทั้งที่พระนางก็ทำงานนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน

พระนางยิ้มพลางชี้แจงว่า “เวลากลางวันฉันก็ทำงานชิ้นนี้อย่างขมักเขม้น ครั้นถึงกลางคืนทุกคืน ฉันก็รื้อมันออกให้อยู่ในสภาพเดิม...”

โอดิสยุสยังไม่ตาย หลังจากที่ได้เสร็จศึกเมืองทรอยแล้ว เขาก็เดินเรือมุ่งกลับบ้านเรือนของตน และต้องผจญภัยมาตลอดทาง ซึ่งทำให้การเดินทางล่าช้าเสียเวลามาก



ครั้งหนึ่งโอดิสยุสกับบริวารเดินทางมาถึงแดนอมนุษย์ คือ พวกยักษ์ตาเดียว

“เราต้องระวังตัวให้มาก” โอดิสยุสบอกบริวาร “ยักษ์เหล่านี้มีตาอยู่ที่หน้าผากเพียงตาเดียว มันดุร้ายมาก”

ค่ำวันหนึ่ง โอดิสยุสกับบริวารเข้าไปอาศัยนอนในถ้ำแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นอมนุษย์สูงใหญ่ก็โผล่เข้าไป

“ฮ้า เฮ้ย! พวกมึงเป็นใครวะ บังอาจบุกรุกเข้ามาในบ้านของกู?” เสียงคำรามออกจากปากของใบหน้ามพึมาซึ่งมีตาเดียวติดอยู่ที่หน้าผากนั้น “มึงไม่รู้หรือว่ากูนี่แหละ มีนามกรว่า รากษสมหาราช” เป็นเจ้าแห่งอมนุษย์ชนชาติยักษ์ตาเดียว?”

ว่าแล้วรากษสมหาราชก็จับบริวารของโอดิสยุสเคี้ยวกินเป็นภักษาหารเสียสองคน ต่อจากนั้นมันก็ล้มตัวลงนอนขวางปากถ้ำ ป้องกันไม่ให้เชลยที่เหลืออยู่เล็ดรอดหนีออกไปได้

บริวารของโอดิสยุสเสียขวัญ แต่โอดิสยุสปลอบว่า อย่าตกใจเลย เขาเดินเข้าไปหารากษสมหาราช และยื่นภาชนะบรรจุเหล้าองุ่นให้มัน เจ้ายักษ์ร้ายก็รับไปดื่มรวดเดียวหมด

“อะโห! นี่น้ำอะไรหวา? อร่อยแท้ ๆ ชื่นใจกูจริง! ตั้งแต่เกิดมากูยังไม่เคยดวดน้ำโอชารสอย่างนี้เลย เออ! กูขอบใจมึงมาก ๆ กูจะตอบแทนความดีของมึงด้วยการเก็บมึงไว้กินเป็นคนสุดท้าย มึงชื่ออะไรวะ?”

“ข้าพเจ้าชื่อ ไม่มีตัวตน พะย่ะค่ะ” โอดิสยุสตอบ

“ชื่อแปลกจริงโว้ย! ชื่อไม่มีตัวตน!....” ขุนยักษ์พึมพำแล้วก็ล้มตัวลงนอนหลับสนิท โอดิสยุสได้ท่าก็เอาดาบแทงตาข้างเดียวของจอมรากษส มันต่อสู้เปะปะและส่งเสียงร้องโหยหวน มันกลายเป็นยักษ์ตาบอด เสียงร้องของมันทำให้เพื่อนเผ่าพันธุ์ยักษ์ตาเดียวด้วยกันรีบมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

“ตูข้าถูกทำร้าย แก้แค้นให้ทีเถิด พรรคพวกทั้งหลาย!” ขุนยักษ์ร้องบอกกล่าวแก่สหาย

“ใครทำร้ายท่าน?” พวกเพื่อนถาม

“ไม่มีตัวตนทำร้ายข้า”

“ไม่มีตัวตน? อุบ๊ะ! ใครเล่าจะเป็นบ้าไปสู้รบตบมือกับไม่มีตัวตน... ท่านต้องละเมอเพ้อพกเสียแล้วละสหายเอ๋ย นี่คงเดินซุ่มซ่ามเอาศีรษะไปชนชะง่อนหินเข้า แล้วก็เลยคลุ้มคลั่งไม่ได้สติ” มิไยขุนยักษ์จะพร่ำชี้แจงแสดงเหตุผลสักเพียงไร เพื่อน ๆ ก็ไม่ปรารถนาจะรับฟัง ทุกคนพากันออกจากถ้ำไปพลางบ่นว่าสมน้ำหน้า นี่คงตะกละตะกรามแอบกินปลาวาฬเข้าไปตั้งครึ่งค่อนตัวโดยไม่ยอมแบ่งให้พรรคพวกเป็นแน่ทีเดียว จึงเกิดปวดท้องสติฟั่นเฟือนเช่นนี้

ขุนยักษ์ตาบอดก็จริง แต่มันหาได้ละทิ้งความพยายามไม่ มันยืนจังก้าคอยเฝ้าปากถ้ำเอามือมหึมาคอยตะปบจับตัวเชลยที่จะเล็ดลอดหนีออกไปตลอดเวลา ในถ้ำนี้มีแกะตัวใหญ่ ๆ อยู่ฝูงหนึ่งซึ่งขุนยักษ์เลี้ยงไว้

“ข้าพเจ้าคิดได้แล้ว” โอดิสยุสบอกบริวาร “พรุ่งนี้เช้า เจ้ายักษ์ร้ายจะต้องต้อนฝูงแกะของมันออกไปหากิน พวกเราแต่ละคนจงหมอบลงใต้ท้องแกะแต่ละตัว เวลาแกะถูกต้อนออกไป เจ้ายักษ์ตาบอดจะต้องนับแกะทีละตัว แต่มันก็ไม่อาจรู้ว่าเราซ่อนอยู่ใต้ท้องแกะ”

รุ่งขึ้นโอดิสยุสกับบริวารก็เล็ดลอดออกจากถ้ำพ้นมืออสูรตาบอดไปได้ โดยอาศัยแกะเป็นที่กำบัง เขาพาบริวารลงเรือรีบหนีจากเกาะยักษ์ตาเดียวไปทันที ระหว่างทางเขาต้องผ่านแดนอมนุษย์อีกจำพวกหนึ่ง คือ อุทกกินรี หรือพวกนางเงือกร้าย

“นี่คือแหล่งของบรรดานางปีศาจน้ำ” โอดิสยุสบอกบริวาร “เสียงเพลงของมันไพเราะมาก ถ้าใครได้ยินแล้วจะต้องลุ่มหลงและกระโดดลงไปหามัน และจะต้องถูกมันสูบเลือดกินถึงตายทันที ท่านทั้งหลายจงเอาขี้ผึ้งอุดหูไว้ให้มิดชิดเพื่อจะได้ไม่ได้ยินเสียงเพลงของมัน ส่วนข้าพเจ้าใคร่จะฟังเสียงนั้น แต่ก็ไม่อยากตาย ฉะนั้นท่านจงช่วยผูกมัดข้าพเจ้าติดกับเสากระโดงเรือด้วย เพื่อข้าพเจ้าจะได้ไม่กระโดดลงไปหามันได้”

ทุกคนปฏิบัติตามคำแนะนำของโอดิสยุส และต่างก็สามารถรอดไปได้จากแดนอุทกกินรี

ทางบ้านเมืองของโอดิสยุสก็ปรากฏว่า พีเนโลพีถูกนางข้าหลวงคนโปรดทรยศโดยการนำความลับของเรื่องการเย็บปักถักร้อยไปแจ้งแก่เจ้าชายองค์หนึ่ง “ฝ่าบาทเพคะ” นางข้าหลวงเพ็ดทูลแก่เจ้าชายองค์นั้น “พระนางเธอทรงเล่นไม่ซื่อเสียแล้ว... ทุกราตรีพระนางต้องรื้องานที่ทำไว้ในเวลากลางวันเพื่อจะได้ตั้งต้นใหม่เสมอไปไม่มีวันสิ้นสุด...”

“อ้อ! ยังงั้นหรือ?” เจ้าชายรับสั่ง “เราต้องบังคับให้พระนางตัดสินพระทัยเลือกคู่ครองใหม่ในบรรดาพวกเรา ณ บัดนี้”

เจ้าชายทั้งหลายจึงเข้าไปพบกับพระนางพีเนโลพีในวัง

“นี่แนะ พระนาง” เจ้าชายองค์อาวุโสสุดเอ่ยขึ้น “เธอไม่มีวันจะทำงานนั้นเสร็จ พระสามีของเธอสิ้นชีวิตแน่แล้ว เพราะฉะนั้นเธอน้องเลือกคนใดคนหนึ่งในพวกเราบัดนี้”

“เมื่อจำเป็น หม่อมฉันก็จำยอมเลือก แต่หม่อมฉันปรารถนาพระสามีองค์ใหม่ให้ทรงพลังเหมือนโอดิสยุส หม่อมฉันจะอภิเษกสมรสด้วยกับเจ้าชายองค์ที่สามารถยิงธนูคันนี้เท่านั้น โอดิสยุสคือบุรุษเดียวในพิภพซึ่งสามารถง้างคันธนูนี้ได้”

ขณะที่พระนางพีเนโลพีกำลังได้รับคำเรียกร้องจากบรรดาเจ้าชายให้เลือกพระสามีใหม่นั้น ณ ชานนครหลวง ก็มีบุรุษผู้หนึ่งเดินทางมาจากต่างแดนและเข้าไปเจรจากับกสิกรผู้หนึ่ง

“ข้าพเจ้ามาจากเมืองทรอย ข้าพเจ้านำราชสารจากโอดิสยุส เจ้าชีวิตของปวงชนเพื่อมาถวายพระราชินี ข้าพเจ้ายังไม่ทราบเลยว่าพระราชินีทรงดำรงสภาพเดิม หรือได้เปลี่ยนแปลงประการใด”

“พระราชินีจะทรงขอบใจที่ท่านนำข่าวจากพระสามีที่รัก....”

“ถ้าเช่นนั้น พระนางก็ยังมิได้มีพระสามีใหม่น่ะซิ?”

“พระนางไม่ปรารถนาชายใด นอกจากโอดิสอุส”

บุรุษผู้จาริกมาจากแดนไกลได้ทราบความเป็นไปเกี่ยวกับพระนางพีเนโลพีแล้ว ก็รีบเข้าไปยังพระราชวัง เมื่อเข้าไปถึงก็ได้เห็นบรรดาเจ้าชายซึ่งหมายปองจะเป็นพระสามี กำลังประลองฝีมือกัน“ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย” เจ้าชายแต่ละคนบ่น “ข้าพเจ้าแปลกใจว่าโอดิสยุสสามารถโก่งคันธนูนี้ได้อย่างไร พรุ่งนี้เรามาลองพยายามกันอีกครั้งเถิด...”“ขอให้ข้าพเจ้าลองบ้างซิ”

ทุกคนเหลียวไปยังประตูที่มาแห่งเสียงนั้น


“อะไร? ท่านซึ่งเป็นคนพเนจรน่ะหรือจะเผยอมาประลอง...”

แต่บุรุษนั้นได้จับคันธนูและใส่ลูกแล้วก็น้าวสุดเหนี่ยว และต่อจากนั้นลูกธนูก็หลุดจากแหล่งตรงไปปักอยู่ที่ใจกลางเป้าหมายอย่างจัง


สีหน้าของพีโนเลพีซีดเผือด ไม่มีชายใดนอกจากโอดิสยุส จึงจะสามารถใช้ธนูคันนี้ได้...

“พี่นี่แหละคือโอดิสยุส” บุรุษนั้นบอกพีเนโลพี “พี่กลับมาแล้ว และภาคภูมิใจมากที่เธอมีความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพี่เช่นนี้ พี่จะลงโทษทุกคนที่ได้บังอาจคุกคามบีบคั้นน้ำใจน้องระหว่างที่พี่ไม่อยู่”

“ถึงแม้ท่านจะทรงพลังเสมอเหมือนโอดิสยุสก็จริง แต่ท่านไม่มีอะไรอื่นใดเป็นข้อพิสูจน์ว่าท่านคือพระสามีแท้จริงของข้าพเจ้า โอดิสยุสจากไปหลายปีตั้งแต่โอรสของเรายังเป็นทารกอยู่...”

“พีโนเลพี! เธอจำพี่ไม่ได้แล้วหรือ?”

แต่พีโนเลพีได้เดินออกจากห้องไปเสียแล้ว หญิงชราซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดูโอดิสยุสมาตั้งแต่โอดิสยุสยังไม่อดนมได้เห็นเหตุการณ์ก็พูดว่า “โอดิสยุสลูกรัก อย่าวิตกเลย แม่จะช่วยให้ภริยาของลูกจำลูกจนได้...”

นางจัดการให้พวกมหาดเล็กนำเสื้อผ้ามาให้โอดิสยุสผลัดเปลี่ยนหลังจากอาบน้ำอย่างสะอาดหมดจดแล้ว ต่อจากนั้นโอดิสยุสก็เข้าไปในตำหนักของพระนางพีเนโลพี
 
 “พีเนโลพีที่รัก จำพี่ได้หรือยัง?”

พีเนโลพียืนตกตะลึง และรู้สึกมีความสุขใจ เธอรำพึงว่า “เขาเหมือนโอดิสยุสเสียนี่กระไร ความสุขนี้เป็นของเราแน่หรือ? แต่เราต้องพิสูจน์ให้ประจักษ์ว่าเขาคือโอดิสยุสตัวจริง”

พระนางจึงบอกให้บุรุษที่อ้างเป็นพระสามีไปนอนในห้องที่มีเตียงของโอดิสยุส

“เตียงนั้นพี่สร้างด้วยไม้มะกอกมันหนักมากจนไม่มีใครขยับเขยื้อนเคลื่อนที่มันได้ นอกจากพี่คนเดียวเท่านั้น”

“โอ! ทูลกระหม่อมแก้ว ท่านคือพระสามีของหม่อมฉันแน่แล้ว เพราะนอกจากโอดิสยุสแล้วก็ไม่มีผู้ใดจะล่วงรู้รายละเอียดปลีกย่อยภายในพระราชวังของเรานี้... หม่อมฉันดีใจที่พระองค์เสด็จกลับมาโดยสวัสดิภาพปลอดภัย...”

ต่อจากนั้นในพระราชวังก็มีการกินเลี้ยงฉลองการเสด็จนิวัตพระนครของโอดิสยุสอย่างมโหฬาร

นิทานแสนสนุกเรื่องนี้ก็จบลงด้วยดี ผู้แต่งก็คือมหากวี โฮเมอร์ แห่งโบราณกาล

 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

MOSCOW

ช่วงชีวิตหนึ่งของผม

กองหน้าร่าเริง - เจ้าชายสามพี่น้อง